การตรวจด้วยการออกกำลัง (Exercise stress test) คืออะไร?
การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังโดยวิธีการออกกำลังกายจะมีวิธีหลักอยู่ 2 วิธี คือ การเดินสายพาน (Treadmill) และ การปั่นจักรยาน (cycling) แต่วิธีที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก คือ การเดินสายพาน (Treadmill) ขั้นตอนการตรวจจะเริ่มจากการติดอุปกรณ์แผ่น Electrode ที่บริเวณหน้าอก แขน และขา ทั้งหมด 10 จุด เพื่อบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจและอัตราการเต้นของชีพจรรวมถึงติดเครื่องวัดความดันโลหิตไว้ที่ต้นแขน โดยจะมีเจ้าหน้าที่นักเทคโนโลยีหัวใจ (Cardiology Technician) เป็นผู้ดำเนินการตรวจ สังเกตอาการ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ อัตราการเต้นของชีพจรและความดันโลหิตในระหว่างที่ทำการตรวจโดยอยู่ภายใต้การควบคุมของอายุรแพทย์โรคหัวใจอีกขั้นหนึ่ง ระหว่างทำการทดสอบเครื่องสายพานจะเพิ่มระดับความเร็วและความชันทุก ๆ 3 นาที (ตาม Bruce Protocol)
การเดินจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ตรวจพบข้อบ่งชี้ดังนี้
- เดินได้ถึงอัตราชีพจรเป้าหมายที่แปรผลได้ (85% ของชีพจรสูงสุดที่เป็นไปได้ของแต่ละคน ซึ่งคำนวณได้จาก 220 – อายุ)
- ผู้ป่วยขอหยุดเดินเองเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถที่จะเดินต่อไปได้
- มีอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เช่น แน่นหน้าอกหรือแน่นบริเวณกรามฟัน เวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หอบเหนื่อยมาก
- พบลักษณะของกราฟไฟฟ้าหัวใจที่บ่งชี้ถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง
- ความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรงขณะที่เดินสายพาน
การเดินสายพานจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 6 - 12 นาที และเข้าสู่ระยะพัก (Recovery Stage) อีกประมาณ 5 - 10 นาที โดยรวมจะใช้เวลาในการตรวจทั้งสิ้นเฉลี่ยประมาณ 20 – 30 นาทีต่อท่าน
การตรวจด้วยวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์ทราบถึงสาเหตุเบื้องต้นของอาการเจ็บหน้าอก ช่วยประเมินความแข็งแรงของหัวใจและร่างกายขณะออกกำลัง รวมไปถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตตอบสนองต่อการออกกำลังกาย
ประโยชน์ที่ได้จากการทำ Exercise Stress Test คืออะไร?
Exercise Stress Test มีประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ ดังนี้
- ใช้สำหรับการวินิจฉัยแยกโรคผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกว่ามีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่
- ใช้สำหรับประเมินความเสี่ยงว่าผู้ป่วยจะมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ แต่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคระดับปานกลางขึ้นไป
- ใช้สำหรับประเมินผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่เดิมว่ามีความจำเป็นจะต้องรับการตรวจเพิ่มเติมหรือทำการรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจหรือไม่
- ใช้ประเมินประสิทธิภาพและผลในการรักษาด้วยยาในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่เดิม
- ใช้ในการประเมินและวินิจฉัยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด
- ใช้ประเมินประสิทธิภาพความสามารถสูงสุดของร่างกายและหัวใจในการออกกำลังกาย
- ใช้ประเมินระดับความสามารถสูงสุดในการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
การเตรียมตัวผู้ป่วยก่อนทำ Exercise Stress Test รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
- งดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ก่อนเริ่มทำการทดสอบ
- งดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เนื่องจากคาเฟอีนอาจรบกวนการแปรผลการทดสอบ
- ในผู้ป่วยที่มียาประจำรับประทานอยู่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อให้แพทย์ได้พิจารณาและให้คำแนะนำ หากมียาตัวใดที่มีผลรบกวนต่อการตรวจ (โดยเฉพาะยาโรคหัวใจและยาในกลุ่มลดความดันโลหิตสูง)
- สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดและอยู่ในระหว่างรักษาด้วยยาพ่นให้นำยามาด้วยในวันที่ทำการตรวจ
- สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ทำการตรวจควรแจ้งแพทย์ที่ทำการดูแลรักษาเรื่องเบาหวานทราบ เพื่อเตรียมตัวเรื่องยาเบาหวานให้เหมาะสมในวันที่จะทำการตรวจ
ความเสี่ยงจากการทำ Exercise Stress Test มีอะไรบ้าง
- สำหรับผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นหน้าอกหรือหอบเหนื่อยง่าย
- อาการเมื่อยล้าบริเวณต้นขาหรือบริเวณน่องซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยและแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าลักษณะอาการปวดที่ขานี้จะเกี่ยวเนื่องกับภาวะหลอดเลือดแดงที่ขาตีบหรือไม่
- ความดันโลหิตต่ำลงระหว่าง Exercise ซึ่งอาจจะพบได้ประมาณ 1 - 5% ความดันโลหิตที่ลดต่ำลงอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะได้ ซึ่งผู้รับการตรวจควรจะรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีอาการดังกล่าว โดยปกติระหว่างที่เราออกกำลังกาย ความดันโลหิตตัวบน (ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว) จะต้องเพิ่มขึ้นตามระดับการออกกำลังกายที่เพิ่มขึ้น หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการแน่นหน้าอกร่วมกับความดันโลหิตลดต่ำลงระหว่างออกกำลังกายและมีกราฟไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติระหว่างออกกำลังกายจะเป็นตัวพยากรณ์ที่ดีถึงการที่ผู้ป่วยมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่อันตรายอยู่
- ความเสี่ยงอี่น ๆ ที่พบได้น้อยมาก (< 1%) ได้แก่ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
โดยระหว่างที่ทำการทดสอบจะมีนักเทคโนโลยีหัวใจ (Cardiology Technician) และอายุรแพทย์โรคหัวใจ (Cardiologist) คอยสังเกตการณ์และเฝ้าระวังถึงอาการผิดปกติต่าง ๆ ลักษณะของกราฟไฟฟ้าหัวใจหรือความดันเลือดที่ผิดปกติไป และจะมีการแจ้งให้อายุรแพทย์โรคหัวใจที่รับผิดชอบในการตรวจทราบทันที เพื่อป้องกันความเสี่ยงและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าความเสี่ยงที่รุนแรงและอันตรายจากการตรวจจะพบได้น้อยมาก ทางโรงพยาบาลยังได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านอุปกรณ์และยาที่ได้ตามมาตรฐาน Standby ไว้ที่บริเวณห้องตรวจ หากกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นจริงก็สามารถที่จะให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
การแปรผล Exercise Stress Test
อายุรแพทย์โรคหัวใจจะเป็นผู้แปรผลการตรวจ Exercise Stress Test โดยการแปรผลจะประเมินจากระยะเวลาในการเดินสายพาน อาการแน่นหน้าอก การเปลี่ยนแปลงของกราฟไฟฟ้าหัวใจ การเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตขณะออกกำลังกายและขณะพัก ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้จะนำไปพิจารณาร่วมกับระดับความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ผู้ป่วยมีอยู่เดิม เพื่อทำการวิเคราะห์ถึงโอกาสในการมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบของผู้ป่วย ซึ่งผลสามารถแจ้งให้ผู้ป่วยทราบได้ภายในวันที่ทำการตรวจ เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้ทราบถึงแนวทางการรักษาต่อไป
ขอขอบคุณบทความจาก : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ