ยาแอสไพริน

เป็นยาที่มีการค้นพบและถูกใช้มาเป็นเวลานาน ด้วยประสิทธิภาพการรักษาที่ดีและฤทธิ์ในการรักษาที่ใช้กับหลายโรค ยานี้จึงมีวิธีการใช้และขนาดการใช้ของแต่ละข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน รวมถึงผลข้างเคียงของยาที่มีตั้งแต่ไม่รุนแรง ไปจนถึงผลข้างเคียงที่รุนแรงที่พบบ่อยคือ เลือดออกในทางเดินอาหาร

ยาแอสไพริน

             แอสไพริน (aspirin) เป็นยาที่มีการค้นพบและถูกใช้มาเป็นเวลานาน ด้วยประสิทธิภาพการรักษาที่ดีและฤทธิ์ในการรักษาที่ใช้กับหลายโรค ยานี้จึงมีวิธีการใช้และขนาดการใช้ของแต่ละข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน รวมถึงผลข้างเคียงของยาที่มีตั้งแต่ไม่รุนแรง ไปจนถึงผลข้างเคียงที่รุนแรงที่พบบ่อยคือ เลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ ดังนั้น หากมีความเข้าใจในวิธีการใช้ยาที่ถูกต้องจะช่วยให้เกิดการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและเกิดผลข้างเคียงหรือปัญหาจากการใช้ยาน้อยที่สุดได้ 

ฤทธิ์ของแอสไพริน
            แอสไพรินเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี มีฤทธิ์ในการรักษาอาการอักเสบ เช่น อาการปวด บวม แดง ร้อนต่างๆ และมีฤทธิ์ลดไข้ นอกจากนี้ฤทธิ์ที่สำคัญของยานี้ที่ทำให้เกิดการใช้อย่างแพร่หลายมากจนกลายเป็นหนึ่งในยาที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดตัวหนึ่งของโลก คือ ฤทธิ์ในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด ทำให้ยานี้ถูกใช้ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองอุดตัน และเส้นเลือดที่ขาอุดตัน เป็นต้น

ข้อบ่งใช้
            การใช้ยาแอสไพรินมี 2 ข้อบ่งใช้

  1. บรรเทาอาการอักเสบและลดไข้
  2. ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด โดยใช้ในช่วงแรกของการเกิดการอุดตันหลอดเลือด และการใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด

 

ข้อควรระวังในการใช้ยา

  1. ควรระวังสำหรับการใช้ยาแอสไพรินในเด็กหรือวัยรุ่นที่มีการติดเชื้อไวรัส เนื่องจากพบว่าสัมพันธ์กับความผิดปกติ ที่เรียกว่า Reye\'s syndrome ที่ถึงแม้จะเป็นกลุ่มอาการที่พบได้ไม่บ่อยแต่มีความรุนแรงสูงจนอาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตได้ โดยจะทำให้เกิดอาการของตับอักเสบ และสมองอักเสบ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในเด็กอายุน้อยกว่า 16-19 ปี

หากผู้ป่วยกำลังเป็นไข้เลือดออก ยาจะทำให้อาการเลือดออกผิดปกติเกิดได้ง่ายมากขึ้นเนื่องจากฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของยากลุ่มนี้ จึงควรสังเกตอาการ (จุดจ้ำเลือดขึ้นตามผิวหนัง) หลังการใช้ยาอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติดังกล่าว ควรรีบหยุดยาและพบแพทย์ทันที

 


ผลข้างเคียงและการป้องกัน/บรรเทา

  1. ระคายเคืองทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถป้องกันหรือบรรเทาได้โดยการรับประทานหลังอาหารทันที หรือรับประทายาเม็ดที่มีการเคลือบด้วยสารที่ควบคุมให้เม็ดยาเกิดการปลดปล่อยตัวยาที่ลำไส้เล็ก (enteric-coated tablet) เพื่อลดการสัมผัสของยาและกระเพาะอาหารที่มีความเป็นกรดสูงมากอยู่แล้ว
  2. เลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ค่อนข้างบ่อยและรุนแรงกว่า จากการศึกษาพบว่า ผลข้างเคียงนี้พบบ่อยในผู้ใช้ยาที่มีอายุมาก ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการใช้ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารร่วมด้วย โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาสั่งจ่ายยาลดการหลั่งกรดนี้ในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งใช้อยู่แล้วโอกาสของการเกิดเลือดออกจะมีมากขึ้นในผู้ที่ใช้ยาอื่นๆ ที่เสริมฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดหรือต้านการแข็งตัวของเลือดหรือใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ (steroids) ร่วมด้วย ดังนั้น ผู้ที่ใช้ยาแอสไพรินควรเพิ่มความระมัดระวังการใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบในกลุ่ม NSAIDs เนื่องจากจะเสริมฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดและเพิ่มความระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาบรรเทาอาการปวด อาจพิจารณาเลี่ยงไปใช้ยากลุ่มอื่นๆ เช่น ยาพาราเซตามอล หรือยาทรามาดอล (tramadol) เนื่องจากไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว

    ข้อสรุป
                ยาแอสไพรินเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี แต่ก็มีรายละเอียดในวิธีการใช้ยาทั้งขนาดยาที่ใช้และวิธีการรับประทานยาที่แตกต่างกัน รวมถึงข้อควรระวังในการใช้ยา หากผู้ใช้ยามีความเข้าใจในการใช้ยาแอสไพริน จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีในขณะเดียวกันก็จะช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาลงด้วย

 

Cr : เว็บไซต์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล / https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/257/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99(aspirin)/